ส่วนผสมของพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน 2497
จากการสืบค้น และสืบหาข้อมูลการสร้างหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน 2497
ได้พบประเด็นสำคัญว่า
เป็นพระเนื้อว่าน 108
ที่เป็นพืชสมุนไพรหลากชนิด
ตามภูมิปัญญาของคนแถวนั้น และ
พอหาได้จากป่าธรรมชาติแถวๆนั้น
นำมาตากแห้ง หั่น สับ ตำให้ละเอียด
นำมาผสมดินสีดำ
จากถ้ำของภูเขาศักดิ์สิทธ์ ที่ลำพระยา เมืองยะลา
ที่น่าจะเป็นดินเหนียวในถ้ำหินปูน
ตามความเชื่อของคนแถวนั้น
ที่เกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์ของถ้ำ และดินในถ้ำ
ที่น่าจะเป็นดินที่มีความเหนียว และอมน้ำปูนจากสภาพแวดล้อมรอบถ้ำ
เรียกตามตำนานว่า “กากยายักษ์”
ผสมน้ำมันตังอิ้ว ตามแบบภูมิปัญญาการสร้างพระเนื้อผง เพื่อลดการปริแตก
ผสมข้าวเหนียว
เนื้อกล้วยป่า
ผสมปูนขาว
ทำให้พระรูปหลวงพ่อทวดมีความคงทนมาก
ไม่มีการปริแตก ระเบิด หักเปราะ
ไม่ถูกแมลงที่เรียกว่า “ตัวกินพระ” กัดกิน
มีข้อมูลว่า พิมพ์กรรมการจะออกสีดำ เพราะใช้ดินกากยายักษ์มาก ที่น่าจะเป็นพระเนื้อละเอียด แน่น
หากเป็นพิมพ์ทั่วไปจะออกสีเทานวล แต่จะพบเห็นมีสีแดงนวลบ้างเข้าใจว่าเป็นเพราะผสมว่านสบู่เลือดลงไปมาก
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่า
มวลสารที่ส่องจะพบเห็นเม็ดคล้ายอิฐแดงบดละเอียด ที่น่าจะเป็นแร่เหล็กตามหลักของการสร้างพระสมเด็จ ที่นำแนวคิดมาจากพระกำแพงซุ้ม จะนำมาจากไหนนั้น ข้อมูลไม่ชัดเจน อาจจะนำมาจากกำแพงเพชร หรือแหล่งแร่อื่นๆ ก็เป็นได้ แต่ในเชิงพุทธคุณ น่าจะอนุมานว่านำมาจากกำแพงเพชรมากกว่า
และยังพบว่า มีมวลสารสีขาว ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพระสมเด็จ ที่มีผู้สันนิษฐานว่าอาจเป็นเศษจากการสร้างพระสมเด็จหลวงปู่ภู หรือพระสมเด็จอื่นๆ หรือเป็นเนื้อปูนเปลือกหอย ที่นับถือกันว่าเป็น “ผงสมเด็จ” ก็เป็นได้
และยังมีการผสมเม็ดแร่เหล็กสีดำเหลื่อมทอง เรียกว่า ทองน้อย หรือ ภาษาจีนว่า แร่กิมเซียว ที่ตามตำนานว่า คุณอนันต์ คณานุรักษ์ นำมาจากเหมือง ผสมเป็นมวลสาร และในบางองค์เมื่อนำออกจากแม่พิมพ์ก็จะใช้นิ้วกดเม็ดแร่กิมเซียวที่ด้านหลังองค์พระ แต่ไม่พบมากในบรรดาพิมพ์ใหญ่
จากตำนาน ได้ข้อมูลว่า
ชาวบ้านที่อาศัยข้างวัดช้างให้เวลาไปสวนยาง ขากลับจะนำว่านมาถวายวัด โดยการวางไว้ตรงบริเวณลานวัดเพื่อทำการตากแห้ง เช่น
ว่านสบู่เลือดตัวผู้-ตัวเมีย
ว่านกลิ้งกลางดง
ว่านสาวหลง
ว่านพญาว่าน
ว่านหม้อข้าว หม้อแกงลิง(มีฝาเปิดปิดดักจับแมลง)
ว่านหนุมานนั่งแท่น
ว่านคางคก
ว่านนางกวัก
ว่านนกคุ้ม และว่านอื่นอีกมากมาย
นอกจากนี้ ตำนานกล่าวว่า พระอาจารย์ทิม จะเก็บข้าวก้นบาตรไว้ทุกวัน เพื่อที่จะนำไปส่วนผสมในการทำพระเครื่องหลวงพ่อทวด โดยการนำข้าวก้นบาตรไปตากแดดบนหลังคากุฏิ เพื่อกันไก่ เข้าไปกิน
และในพิธีขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 คือวันไหว้ครู ที่จะจัดขึ้นเป็น ประจำของทุกปี
จะมีการนำข้าวเหนียวที่ปั้นแล้วมาปลุกเสกนั้นเป็นพิธีกรรมโบราณซึ่งมีมานานแล้ว ซึ่งข้าวเหนียวนั้นจะเป็นส่วนผสมในการสร้างหลวงพ่อทวดว่าน 2497ด้วยเช่นกัน จะนำไปตากแดดให้แห้งแล้วนำไปบดผสมกับว่าน 108
ยังมีผลกล้วยป่าเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะนำมาเป็นตัวประสาน
อีกทั้ง น้ำมันตังอิ้ว และ ปูนขาว
เพื่อให้เนื้อมวลสารต่างๆรวมตัวกันและจับตัวเป็นก้อนแข็งแน่นแบบเดียวกับพระสมัยทวาราวดี และผงสุพรรณ
แต่อาจมีบางองค์ที่ร่วนซุย จากส่วนผสมในแต่ละครกแก่ว่าน ปูนน้อย
จึงทำให้พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่านรุ่นแรก เนื้อหาสาระไม่แข็งแกร่ง
บางองค์แก่ดิน บางองค์แก่ว่าน บางองค์แก่ปูน
จากตำนานการสร้างพระเนื้อว่าน แบบตำมือกดมือนั้น แต่ละครกเนื้อจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองไปเลย
และในกระบวนการกดในแม่พิมพ์ตัวเมีย เกือบ 100 แม่พิมพ์ ที่ทำจากขี้ครั่งพุทรา ที่มีความเหนียวเป็นยางสีดำแดง โดยใช้แม่พิมพ์ตัวผู้หลักๆ 3 พิมพ์ และมีพิมพ์ย่อยๆอีกหลายพ่อพิมพ์ ที่มีการสร้างไม่มากนัก ที่เมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดรอยปริแยก หรือตำหนิใหม่ๆ ในแต่ละแม่พิมพ์
ทำให้หลวงพ่อทวดในแม่พิมพ์เดียวกัน ก็อาจมีตำหนิอันเนื่องจากรอยแตกแยกออกมาอีกหลายแบบ ตามอายุของแม่พิมพ์ตัวเมีย
และจะแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนผสม มวลสาร ระยะเวลา น้ำหนักในการตำผสม ระยะเวลาในการกดพิมพ์
ความแห้ง ความเหนียว ของลูกกระสุน (เมื่อตำผสมเสร็จแล้วจะปั้นเป็นลูกกระสุนกลมๆขนาดพอกดเต็มพิมพ์)
ปั้นกันเป็นร้อยๆลูกใส่ถาดไว้
ลูกที่เอามากดก่อนก็จะเต็มพิมพ์กดง่าย
ลูกหลังๆก็จะแห้งและกดยากไม่เต็มพิมพ์
ลูกที่ตำไม่ถึงก็จะเหนียวน้อยแตกราน
ลูกที่ตำเหลวไปพิมพ์ก็จะบิดเบี้ยวเมื่อเนื้อแห้งแล้ว
ลูกกระสุนที่แห้งนั้นเวลากดพิมพ์ หน้าจะไม่เต็ม หลังจะนูน เพราะกดไม่ลงเต็มพิมพ์ จึงผิดเพี้ยนกันไปในแต่ละองค์ทั้งที่พิมพ์เดียวกัน
มวลสารครกเดียวกัน หลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ๙๗ ทุกองค์จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
กดแล้วก็นำผงแร่ทองน้อยมาแตะไว้ด้านหลัง จนมักเกิดลายมือที่กดแร่ลงไปในเนื้อพระ
นำไม้ผิวไผ่บ้าง ก้านธูปบ้างมาแคะองค์พระออกจากพิมพ์
นำพระที่กดแล้วไปผึ่งลมจนแห้ง
ขอขอบคุณ gotoknow.org โดย ดร. แสวง รวยสูงเนิน ที่มาของบทความ